หลังจากที่ บ.ก. T.B. ได้เขียนเกี่ยวกับกรอบชีวิต ไปในโพสต์ที่แล้ว วันนี้ผม นาย G.Cop
จะมาเขียนเกี่ยวกับข้อด้อยของระบบการศึกษาไทย ตามที่ผมได้พบเจอมากับตัวเอง
-ขาดการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)
นี้เป็นหนึ่งในหัวข้อทีคุณมักจะได้ยินเวลามีคนวิจาร์ณระบบการศึกษาไทย
ถ้าคุณไมรู้ว่า Critical Thinking คืออะไร ผมจะขออธิบายสั้นๆ ว่ามันคือการตั้งคําถาม
ตั้งคําถามว่าสิ่งที่เราเรียนมานั้นมันถูกต้องรึเปล่า? ซึ่งก็ตามที่ บ.ก. T.B.
ได้เขียนไปในบทความที่แล้วว่าเด็กไทยเรานั้นถูกตีกรอบมาตั้งแต่ยังเล็ก
และผมขอเสริมว่าเมื่อเข้าโรงเรียนแล้วเด็กก็จะกลายเป็นคนไม่กล้าแสดงออก
เพราะถูกตีกรอบมาตั้งแต่ยังจําความได้ เมื่อจะทําอะไรต้องเกรงใจคนอื่น
โดยเฉพาะถ้าไปเจอคนสอนที่เข้มงวด เมื่อยกมือถามก็จะไม่ให้คําตอบ แต่เป็นการว่ากล่าว
จนทําให้เด็กนั้นกลัวที่จะถาม และเลือกที่ก้มหน้าก้มตาเชื่อตามตําราเรียนเพื่อตัดปัญหา
-ความแตกต่างระหว่างโรงเรียน
ผมมองว่านี้เป็นปัญหาเรื้อรังของการศึกษาไทยเลยทีเดียว ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักเชื่อว่า
โรงเรียนยิ่งใหญ่ ยิ่งดัง ก็ยิ่งดี หรือโรงเรียนเอกชนดีกว่าโรงเรียนรัฐบาล
ทําให้เกิดการแข่งขันกันสอบเข้าในโรงเรียนที่กล่าวมา ส่วนโรงเรียนเล็กๆ คนก็ยิ้งน้อยลง
คุณจะเห็นข้อด้อยนี้ชัดขึ้นในแถบต่างจังหวัด โรงเรียนประจําหมู่บ้านกลายเป็นที่รวมของเด็กยากจน
ในขณะที่คนที่พอมีเงินก็จะส่งลูกหลานเข้าไปในอําเภอ และต่อมาก็จะเข้าเรียนมหาลัยในกรุง
-เวลาเรียนที่มากเกินไป
คุณคงเคยรู้สึกเหนื่อยล้าเวลากลับมาจากโรงเรียน กว่าจะกลับบ้านได้ก็คํ่ามืด
ด้วยเวลาเลิกเรียนอย่างตํ่า 4 โมงเย็น (สําหรับบางโรงเรียน 5 โมงเย็น)
หากคุณอยู่ในแถบชนบทก็พอลดความแออัดของการจราจรได้บ้าง แต่หากคุณอยู่ในเมืองละก็...
คุณก็จะเผชิญกับสิ่งที่กล่าวมาข้างบนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กลับบ้านก็ใช่ว่าจะได้พักผ่อน
คุณยังต้องทําการบ้านหรือรายงาน (ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณทําการบ้านเสร็จตั้งแต่ในชั้นเรียน)
ดังนั้นแทนที่คุณจะได้นอนตั้งแต่หัวคํ่า คุณกลับต้องนอนดึก 3-4 ทุ่ม และต้องตื่นแต่เช้ามืด
เมื่อร่างกายไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ประสิทธิภาพการเรียนก็ลดลงไปด้วย
นั้นคือข้อด้อยของระบบการศึกษาไทยในความคิดของผม หากคุณมีอะไรอยากเพิ่มเติม
สามารถเขียนไว้ในช่องคอมเมนท์ข้างล่างนี้ได้เลยครับ